วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"วิชาชีพสถาปนิกในทรรศนะคติของข้าพเจ้า"

ผมมีความคิดริเริ่มที่จะเรียนสถาปัตย์นี้ได้อย่างไร
ความคิดนี้มันพึ่งจะเริ่มขึ้นเมื่อตอนผมอยู่ ม5
          โดยเมื่อก่อนผมมีความคิดที่ฝังใจมาตลอดเลยว่าเป็นผู้ชายยังไงมันก็ต้องเรียนวิศวะดิวะ แต่เพียงแค่คำพูดจากเพื่อนผมที่เห็นผมชอบวาดรูปแค่นั้นแหละ เฮ้ยกูเห็นมึงชอบวาดรูปไม่อยากเรียนถาปัดหรอวะ อ่าวเฮ้ยกูลืมคณะนี้ไปได้ไงวะ ตอนนั้นเองผมก็เลยเริ่มที่จะศึกษาถึงคณะนี้และตามหาที่ติวความถนัดทางสถาปัตย์



          มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ผมนั้นอยากจะเรียนสถาปัตย์ คือหนังสือ "สถาปัตย์คนจัดฝัน"
เป็นหนังสือที่พี่ติวนั้นให้ผมยืมมาอ่าน และเป็นหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่ผมนั้นอ่านจนจบ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเอามากๆ ด้วยความที่งงๆ เพราะอ่านชื่อหนังสือผิด     สถาปัตย์คนจัดฟัน อ่าวเฮ้ยมันเกี่ยวไรวะ เลยเป็นแรงบันดาลใจให้อ่านมันจนจบ หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงชิวิตสถาปัตย์ของพี่เกี๊ยง วงเฉลียง ตั้งแต่เริ่มต้นจากเด็กที่อยากเรียนสถาปัตย์จนไปถึงการประกอบในวิชาชีพ ชีวิตของคณะนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นนี่หว่า ทำไมมีแต่คนว่ามันหนักวะ
          ก่อนหน้านั้นผมเข้าใจว่าแค่ชอบวาดรูปอยากวาดรูปเลยทำให้ผมได้มาเรียนสถาปัตย์ แต่เมื่อได้เข้ามาเรียนแล้ว
ทั้งหมดมันไม่ได้มีเพียงแต่การวาดรูปเท่านั้น




ปี1 เป็นช่วงที่ได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ ได้ทำความรู้จักรุ่นพี่ มีกิจกรรมต่างๆจากคณะ นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้ มันเป็นช่วงที่เคยคิดว่าหนักหนาสาหัสของชีวิต เพราะยังปรับตัวเข้ากับการเรียนคณะนี้ยังไม่ค่อยได้ ทั้งงานและเครื่องมือเครื่องเขียนต่างๆ บางอย่างที่ไม่เคยเห็นไม่เคยได้จับมาก่อน มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้วิชาที่แตกต่างจากการเรียนมัธยมโดยสิ้นเชิง ทั้งสนุกและทั้งเหนื่อยไปด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้อดหลับอดนอนอย่างจริงจัง


ปี2 เป็นช่วงที่ใครๆ ก็บอกว่าหนักจริงๆ ทำให้ผมมองปี1 นั้นว่าเป็นช่วงเวลาที่เบาสบายไปเลย การเรียนเริ่มเข้าสู่เนื้อหาการเรียนสถาปัตยกรรมอย่างจริงจัง มีโปรเจคให้ทำเทอมละสองโปรเจคควบคู่ไปกับงานคอนที่มาให้เทอมละสองโปรเจคเช่นกัน อะไรมันจะหนักขนาดนั้น แต่แล้วก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดีเพราะมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่คอยมาช่วยให้งานเหล่านั้นสำเร็จไปได้ด้วยดีต้องขอขอบพระคุณ ที่คณะนี้พวกเราอยู่ร่วมกันอย่างพี่น้องที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ปี3 เหมือนจะเป็นปีที่สบายที่สุด เป็นปีที่รุ่นพี่ต่างบอกว่าสบายที่สุด จริงๆแล้วผมว่ามันก็คล้ายกับช่วงปีสองแต่เราคงจะปรับตัวเข้ากับชิวิตการทำงานได้แล้ว และรู้จักจัดสรรเวลาได้ดีขึ้น รวมถึงงานที่สามารถทำด้วยคอมพิวเตอร์ซึ่งทำให้ชีวิตการทำงานของผมนั้นสบายมากขึ้น เป็นปีที่ได้ออกแบบอาคาโปรเจคใหญ่ๆ ได้รับความรู้ใหม่ๆ จนบางครั้งทำให้เรารู้สึกอยากกลับไปออกแบบบ้านเหมือนปีสองอีกครั้งเพราะตอนนี้เรามีความรู้ที่มากขึ้นแล้ว การออกแบบบ้าน ในช่วงปีสองคงจะสนุกขึ้นไปกว่าเดิมแน่ และยังได้เรียนรู้ว่าการออกแบบนั้นต้องมี process ลำดับขั้นตอนต่างๆอีกด้วย
ปี4 นับว่าเป็นปีที่มหาโหด งานอะไรมันจะเยอะได้ขนาดนี้จนบางครั้งมันทำให้ผมรู้สึกท้อ และเครียด งานหลายๆอย่างมันช่างรุมเร้าจนเราจัดสรรเวลาจัดการได้ลำบาก แต่สุดท้ายก็ยังมีเพื่อนๆพี่ๆน้องที่ร่วมช่วยกันฝ่าฟันจนมันผ่านไปได้ ตอนนี้ก็ดีใจมากที่ผ่านปี4 เทอมหนึ่งมาได้ เหลือเวลาที่จะเป็นนักศึกษาเพียงแค่เทอมครึ่งเท่านั้น


         สำหรับหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่คิดว่าอยากจะทำ ผมจึงอยากเลือกทำในสิ่งที่ตนเองรักและแสดงออกถึงความเป็นตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งผมนั้นมีความชื่นชอบรถยนต์อย่างมาก เลยมีความคิดอยากจะทำ พิพิธภัณฑ์ยานยนต์ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ รวมไปถึงให้ความรู้ด้านการใช้รถใชถนน และเป็นที่จัดแสดงที่รวบรวมรถยนต์ตั้งแต่สมัยโบราณที่เป็นรถยนต์คันแรกในประเทศไทย จนไปถึงรถยนต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ในปัจจุบันรถยนต์นั้นยังเป็นพาหนะที่สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก แต่ตอนนี้ผมกลับชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำทีสิสอะไรดี


         จากที่ได้เรียนวิชาการประกอบอาชีพ ทำให้ได้เข้าใจว่าการเป็นสถาปนิกไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ได้แค่มีหน้าที่ออกแบบอาคารเพียงอย่างเดียวแต่ในการออกแบบนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบเกี่ยวกับชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่น รับผิดชอบต่อผลงานที่ตนเองเป็นผู้ออกแบบและให้คำปรึกษาอีกด้วย เพราะทุกอย่างที่เราออกแบบนั้นส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานอีกด้วย
          หลังจากจบการศึกษาไปแล้ว ผมคิดว่าอยากทำงานในสายอาชีพนี้เพื่อหาประสบการณ์ และอาจจะขอทุนจากกระเป๋าพ่อแม่เพื่อไปเรียนต่อในระดับปริญญาโท แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวในตอนนั้นพ่อผมคงจะให้มาดำเนินกิจการที่บ้านต่ออย่างแน่นอน ในความฝันของผม ผมมีความคิดอยากจะเปิดออฟฟิตรับจ้างออกแบบเล็กๆ เพราะว่าผมรักในสายอาชีพนี้เสียแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าการดำรงชีวิตในสายวิชานี้จะเป็นอย่างไรจนกว่าจะได้รับรู้ในการทำงานในชีวิตจริง สุดท้ายแล้วความคิดของผมที่ผ่านมาอาจจะเปลี่ยนไปหมดก็เป็นได้




สถาปนิกที่เป็น Idol ผมคงเป็น ZAHA HADID เพราะด้วยรูปแบบฟอร์มและกระบวนการคิดที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงการเอารูปทรงทางเรขาคณิตมารวมใช้ในกระบวนการคิด ผมยอมรับว่างานของเธอมีอิทธิพลต่อนักศึกษาสถาปัตย์อย่างมาก จนมีคำพูดว่า Form Follow ZAHA
และเธอยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล PRITZKER PRIZE อีกด้วย






      


     บริษัทที่ผมติดต่อขอฝึกงานในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ คือบริษัท VASLAB ผมชื่นชอบงานหลายงานของบริษัทนี้อย่างมาก ด้วยการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นแนวงานที่ผมชื่นชอบจึงอยากเข้าไปฝึกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และนำมาใช้ในการเรียน บริษัทเป็นออฟฟิตเล็กๆ เพื่อรักษาความเป็นสตูดิโอ แต่ด้วยการคัดนักศึกษาเข้าฝึกที่เข้มงวดมากจึงยังไม่ทราบถึงชตาชีวิตต่อไปว่าจะได้ไปฝึกที่นั้นหรือไม่






กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ผมก็มีพ่อและแม่ที่ค่อยเป็นคนให้กำลังใจมาโดยตลอด พ่อผมสอนผมโดยการไม่ตามใจผมมาตั้งแต่เด็กอยากได้อะไรต้องรู้จักไขว่คว้า สอนผมให้เป็นคนที่มีความพยายาม สิ่งไหนดีไม่ดีพ่อผมจะค่อยสั่งสอนและเตือนสติผมอยู่ตลอด เวลาที่ผมจะทำอะไรนั้นพ่อผมจะแสดงความเป็นห่วงต่อผมอยู่เสมอๆ พ่อของผมนั้นเป็นฮีโร่สำหรับผมมาโดยตลอดซักวันหนึ่งผมจะต้องเป็นให้ได้เหมือนพ่อของผม แล้วดูแลท่านเหมือนที่ตอนนี้ท่านค่อยทำทุกอย่างเพื่อผม