วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วังสวนผักกาด


           วังสวนผักกาดเป็นวังที่อยู่ติดกับถนนศรีอยุธยา การเดินทางสามารถโดยขึ้นรถไฟฟ้าแล้วลงที่สถานีพญาไท จากนั้นเดินมาทางโรงพยาบาลพญาไทก็จะถึงวังสวนผักกาดครับ ซึ่งที่นี้จะเปิดให้
เข้าชมตั้งแต่ 9โมงจนถึง 4โมงเย็นเลยทีเดียว
           พอเข้ามาถึง จะเจออาคารศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ เป็นส่วน
ต้อนรับและซื้อบัตรเข้าชมวังสวนผักกาด ราคาบัตรจะอยู่ที่ 50 บาทสำหรับบุคคนทั่วไปและ
นักศึกษาจะราคา 20 บาท เมื่อจ่ายค่าบัตรเรียบร้อยจะมีพนักงานตอนรับอธิบายการเดินชมเล็กน้อย
และปล่อยให้เราเดินเข้าไปชมเลยครับ ซึ่งภายในส่วนต่างๆเขาจะไม่ให้ถ่ายรูปยกเว้นที่เป็นตัว
สถาปัตยกรรมเท่านั้น


 โถงทางเข้าจาก ศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์

ผังของวังสวนผักกาด

เล่าถึงประวัติของวังสวนผักกาด
       วังสวนผักกาดเป็นวังที่ประทับของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า จุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต และ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร (เทวกุล)(ชายา)
         ที่ชื่อ "วังสวนผักกาด" เพราะว่า ... เสด็จในกรมฯ ซึ่งเป็นพระราชนัดดา (หลาน)ในรัชกาลที่ 5 และ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร(ชายา) ผู้เป็นเจ้าของวัง ได้มาซื้อที่ดิน ของคนจีน ที่ปลูกเป็นแปลงผักกาดอยู่ค่ะ เรือนไทยที่นี่มีความเก่าแก่ อายุมากกว่าร้อยปี
         เสด็จในกรมฯ ทรงชอบสะสมโบราณวัตถุ และศิลปะโบราณวัตถุมีค่าอันเป็นมรดก ทางวัฒนธรรม และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่ค้นพบในประเทศไทยและซื้อหา มาจากประเทศอื่นๆไว้เป็นจำนวนมาก ท่านเชื่อว่า โบราณวัตถุเหล่านี้ ไม่ควร เก็บไว้ชมแต่เพียงผู้เดียว ถือเป็นมรดกตกทอดของมนุษยชาติด้วย
        จึงได้เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมศิลปะและโบราณวัตถุที่สะสมไว้ โดยที่เจ้าของบ้านยังใช้เป็นที่พำนักอยู่ได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ กล่าวได้ว่า ... เป็นบ้านแห่งแรก ที่เปิดให้ผู้อื่นเข้าชมบ้านได้
ประวัติที่มาเป็น พิพิธภัณฑ์ วังสวนผักกาด
        พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร หรือ เสด็จในกรมฯ และชายาได้ย้ายเข้ามาพำนักอาศัย เป็นการถาวร หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง จุดเริ่มต้นทรงเปิดแสดงศิลปวัตถุโบราณ ที่สะสมไว้ให้พระสหาย และคนที่รู้จักมาชมก่อน แล้วจึงเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชม หลังจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร สิ้นพระชนม์ ใน พ.ศ. 2502 พระชายา คือ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ได้มอบ "วังสวนผักกาด" ให้อยู่ในความดูแลของ มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ และเปิดเป็น ... "พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด " นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

ธรรมชาติระหว่างทางเดินภายใน ศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์ เพื่อเดินไปชมเรือนไทยต่อครับ

         เดินต่อมาเรื่อยๆจะเจอกับโรงเก็บเรือ เรือพระที่นั่งเก้ากึ่งพยาม เป็นเรือพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชาทานแก่ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ซึ่งเป้นพระบิดาของสเด็จในกรมฯ เจ้าของวัง เพื่อใช้เป็นขบวนเรือตามเสด็จประพาสต้น ตัวเรือทำด้วยไม้ตะเคียนทอง ส่วนเก๋งเรือและหลังคาทำด้วยไม้สักทอง


บ่อเลี้ยงเต่าระว่างทางเดินซึ่งภายในบ่อเต็มไปด้วยผักกาดครับ

       ถัดจากโรงเก็บเรือจะเป็นหอเขียนซึ่งตั้งอยู่บนสนามหญ้า ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกที่สุดของในวังสวนผักกาด ภายนอกและภายในนั้นมีรายละเอียดที่บรรจงสร้างขึ้นมาได้อย่างสวยงาม แต่เสียดายที่ถายในนั้นไม่สามารถถ่ายรูปมาได้

      หอเขียนอยู่ทางทิศใต้สุดของวังสวนผักกาด ด้านหน้ามีสนามหญ้าและมีสวนอันสวยงาม หอเขียนหลังนี้เดิมเป็นตำหนักของเจ้านายที่ปลูกอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นสมัยพระนารายณ์ (ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23)
      เมื่อเสด็จในกรมฯ และคุณท่าน ทรงทราบว่าวัดบ้านกลิ้ง ซึ่งเป็นวัดเล็กตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังวัดพระนครศรีอยุธยา โดยสภาพวัดเกือบจะร้างอยู่แล้ว มีเรือนโบราณเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมากและไม่มีผู้ใดบูรณะรักษาเลย แต่ภายในมีสิ่งสวยงามเป็นภาพลายรดน้ำเรื่องพุทธประวัติ พระองค์ท่านจึงทำผาติกรรมคือไถ่ถอนเรือนโบราณนี้มาจากวัดบ้านกลิ้ง ย้ายมาไว้ที่วังสวนผักกาดเพื่อนำมาทำการบูรณะซ่อมแซมทั้งตัวอาคารและภาพลายรดน้ำ แล้วทรงสร้างศาลาวัดสวดมนต์และศาลาท่าน้ำ ถวายให้แก่วัดเป็นการทดแทน หลังจากการบูรณะแล้วเสร็จ เสด็จในกรมฯ ทรงประทานหอเขียนเป็นของขวัญแก่คุณท่านซึ่งเป็นชายา เนื่องในโอกาสที่คุณท่านมีอายุครบ 50 ปี ในวันที่ 8 มีนาคม 2502



        หอเขียนนี้มีลักษณะเป็นเรือนไทยภายนอกมีภาพแกะสลักซึ่งชำรุดลบเลือนไป เนื่องจากถูกแสงแดด ลม และฝนเป็นเวลานาน ส่วนชั้นในนั้น ลวดลายและช่องหน้าต่างเป็นศิลปะยุโรป ภาพลายรดน้ำส่วนบนเป็นเรื่องพุทธประวัติ ส่วนล่างเป็นเรื่องรามเกียรติ์และเรื่องราวที่บันทึกในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ได้ส่งทูลเข้ามาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับไทย ตามด้วยราชทูตชาวฮอลันดา ภาพที่เขียนเต็มไปด้วยธรรมชาติที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งและมีชีวิตชีวา ช่างเขียนได้บันทึกความสวยงามของธรรมชาติไว้ด้วยภาพ ภูเขา ลำธาร และภาพขนบธรรมเนียมในราชสำนักในสมัยนั้น ตลอดจนการตกแต่งรั้ววังและยังมีภาพเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่มีค่ายิ่งทางสถาปัตยกรรมไทย

อีกมุมซึ่งมองออกมาจากหอเขียนจะเห็นเรืองไทยหลังที่ 4 


     หลังจาดนั้นเดินต่อไปจะเป็นสวนของใต้ถุนของเรือนไทยหลังที่ 4 เพื่อที่จะขึ้นไปชั้นสองของเรือนไทยทั้งหมด


ระหว่างทางเดินจะผ่านเรือนที่ 5 และที่ 6 แต่ไม่สามารถขึ้นไปได้เนื่องจากทางวังสวนผักกาดจะควบคุมให้เราขึ้นลงตามจุดที่กำหมดเท่านั้น

ที่ชั้น 1 ของเรือนไทยหลังที่ 4 ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้เป็นที่ต้อนรับและรับประทานอาหารค่ำ
จากนั้นเดินต่อไปเพื่อจะมายังเรือนที่ 1 เพื่อเริ่มชมของสะสมที่อยู่ภายในเรือนต่างๆต่อไป


     เรือนไทยหลังที่ 1 จนมาถึงเรือนไทยหลังที่ 1 ด้านล่างเป็นที่จัดแสดงเครื่องดนตรีสมัยก่อน ด้านข้างมีบันไดเพื่อเดินขึ้นข้างบน ถอดรองเท้าใส่ถุงหิ้วไปด้วย ด้านบนมีของเก่าที่น่าสนใจและหาดูไม่ได้ง่ายๆ

เมื่อเดินขึ้นมายังเรือนที่ 1 จะมีทางเชื่อมเพื่อไปยังเรือนที่ 2 3 และ 4 ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างเรือนที่มีสวยงามมากๆ

     เรือนไทยหลังที่ 2 จัดตกแต่งเป็นเรือนรับรอง ภายในห้องด้านเหนือมีเตียง หมอนขวาน บนเตียงมีฉลองพระองค์ครุยของเจ้านายชายและผ้ากรองทองสำหรับเจ้านายหญิง เมื่อมีการแต่งองค์เต็มยศตามแบบโบราณ
     มุมห้องด้านใต้ข้างประตู มีคันฉ่องซึ่งมีกรอบไม้แกะสลักลายไทย จีน และฝรั่งเศส ปิดทองด้านหน้าคันฉ่องมีหงส์ 1 คู่ ประดับไฟ 2 ดวงหน้าหงส์
     ถัดมาทางทิศใต้ของห้องบนตู้มีพานประดับมุกซ้อนกัน 4 ใบ ภายในตู้ชั้นบนมีตลับงาช้าง สำหรับใส่สีผึ้งและแป้ง มีงาช้างแกะสลักลายไทยปิดทอง ถัดมาทิศตะวันตก มีตู้แกะสลักลายไทยปิดทอง ภายในชั้นบนของตู้มีถ้วยเงินลายทอง ชั้นกลางและชั้นล่างมีเครื่องแก้วเจียระไนจากยุโรปส่วนด้านหลังตู้มีตะลุ่มประดับมุก
     ด้านเหนือของห้อง มีตะลุ่มประดับมุกวางอยู่บนตู้สลักลายไทยปิดทอง ในตู้ชั้นบนมีพระรูปของเสด็จในกรมฯ พระบรมรูปแกะสลักจากงาช้างของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระรูปของ หม่อมเจ้าหญิงมารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร ชั้นล่างมีปั้นกาน้ำ ตระกร้าหญ้าลิเภา และจานหมูที่สมเด็จพระศรีนคริ นทราบรมราชชนนีพระราชทานไว้ ตู้ชั้นล่างมีปิ่นโตเงินลงยาลายนูนจากประเทศจีน กระโถนเครื่องถมและกระโถนเบญจรงค์ริมประตูด้านตะวันออกมีพระฉายแขวน (กระจกส่องหน้า) และตู้เก็บเครื่องแก้วเจียระไนรวมทั้งขวดน้ำหอม ซึ่งนำมาจากประเทศต่างๆ ในยุโรป


     เรือนไทยหลังที่ 3 ตกแต่งเป็นที่รับรอง ด้านขวาของห้องมีตั่งซึ่งใช้รับรองแขก ด้านซ้ายใกล้ประตูมีตู้เล็กแสดงวัตถุโบราณศิลปะกรีก-โรมัน ถัดมามีตู้ใส่ภาชนะเบญจรงค์ ด้านบนฝาผนัง เหนือตู้มีภาพเขียนสีเรื่องรามเกียรติ์ สมัยต้นรัตน์โกสินทร์ในรัชกาลที่ 2 ถัดไปเป็นตั่งแกะสลักลายไทยปิดทอง ด้านบนมีเสลี่ยงซึ่งสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ พนักพิงและราวทำด้วยงาช้างแกะสลักมีกลดตั้งอยู่ด้านหลังของเสลี่ยงและต้นไม้เงิน-ตันไม้ทอง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่สมเด็จย่าของเสด็จในกรมฯ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติครบ 84 ปี
     บนฝาผนังห้องรอบประตูมีภาพวาดที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ยุโรป ภาพบนเหนือประตูเป็นภาพพระนครศรีอยุธยา และภาพล่างเป็นภาพพระพุทธรูปต่างๆ สมัยอยุธยา ภาพราชฑูตฝรั่งเศส ซึ่งราชฑูตชาวฝรั่งเศสนับเป็นชาติแรกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีสมัยพระนารายณ์มหาราช ส่วนด้านข้างประตูภาพบนเป็นภาพเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฉลองเครื่องทรงเป็นแบบชาวยุโรปพระวรกายมีสีดำ ภาพด้านขวาเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระราชีนี เข้าใจว่าสองภาพนี้ ช่างภาพชาวฝรั่งเศสคงเขียนขึ้นจากจินตนาการก่อนที่จะเดินทางมายังประเทศไทย

     เรือนไทยหลังที่ 4 นอกจากจะเป็นห้องพระแล้ว บริเวณหน้าห้อง มีพื้นเรือนที่ยกสูงตรงกลาง ซึ่งสามารถดัดแปลงเป็นโต๊ะอาหารสำหรับเลี้ยงแขกพิเศษในโอกาสต่างๆ และชานเรือนทางทิศใต้มีภาพเขียนสีบนไม้เรื่อง พระเวสสันดรชาดก
     ด้านหน้าห้อง มีบานประตูมุกสมัยอยุธยาตอนปลาย (ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23) ภายในห้องมีพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ที่น่าสนใจคือ พระพุทธรูปสำริดชุบทอง ปางลีลา ศิลปะสุโขทัย (ราวพุทธศตวรรษที่ 19-20) และมีงาช้างแกะสลัก รวมทั้งแจกันที่ทำจากงาช้าง ด้านหลังของฝาผนังห้องมีพระบฎแสดงพุทธประวัติ สมัยรัตนโกสินทร์



ด้านข้างของเรือนที่ 4 จะมีสะพานข้ามบอน้ำเล็กๆ และติดกับสวนซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดีมากๆ

ส่วนที่เป็นชั้นสองของเรือนที่ 4 มองออกไปจะเห็นหอเขียนและบรรยากาศของธรรมชาติ

ทางเชื่อมจากโถงจากชั้นสองของเรือนที่ 4 เพื่อไปเข้าชมต่อยังเรือนที่ 6


     เรือนไทยหลังที่ 6 เรือนไทยหลังนี้ ส่วนใหญ่จัดแสดงเครื่องถ้วยชามสังคโลก ศิลปะสุโขทัย ซึ่งมีอายุประมาณ 600-700 ปี รวมทั้งเครื่องถ้วยชาม สมัยซ้ง หยวน และหมิง ของประเทศจีน
     ภายนอกมีตู้แสดงภาชนะดินเผาสังคโลกจากกลุ่มเตาเวียงกาหลง จังหวัดเชียงราย ขวานหินโบราณและเครื่องประดับ สมัยยุคหิน และเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งได้จากจังหวัดกาญจนบุรี
     ภายในมุมห้องด้านซ้ายแสดงหินสลักรูปหัวงู ศิลปะขอม ถัดไปมีภาชนะดินเผาสังคโลก และตุ๊กตาสมัยสุโขทัย ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ สวยงามมากและเหยือกรูปคนขี่ช้างทรงอยู่สมัยสุโขทัยมุมห้องด้านตะวันตก มีรูปเทวดาสตรีสมัยศรีวิชัย (อายุราวพุทธศตวรรษที่ 14-15) ทำด้วยหินทราย ได้มาจากดงศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี มีไหหรงสูงได้จากทะเล และมีภาพเขียนเรื่องจันทรโครพ มีอายุราวสมัยรัตนโกสินทร์อยู่บนฝาผนังด้านตะวันออก

จากเรือนที่ 6 จะมีทางเชื่อมไปยังเรือนที่ 5 ซึ่งเป็นอีกภาพที่ผมประทับใจมาก


         เรือนไทยหลังที่ 5 เป็นเรือนไทยที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัง ขนานกับถนนศรีอยุธยา ซึ่งใช้จัดแสดงของใช้ประจำพระองค์ของทูลกระหม่อมบริพัตรและเสด็จในกรมฯ อาทิ เครื่องแก้วเจียระไน เครื่องแก้วลายทอง เครื่องเงิน เครื่องกระเบื้อง เป็นต้น ส่วนใหญ่นำมาจากประเทศต่างๆ ในยุโรป นอกจากนี้ยังมีเหรียญกษาปณ์สมัยต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ

เดินย้อนกลับมาจะเดินกลับไปเพื่อชมเรือนที่ 7 และ 8 ต่อ

       เรือนไทยหลังที่ 7 พิพิธภัณฑ์โขน จัดแสดงหัวโขนต่างๆ จากเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมีขนาดเท่าของจริง อาทิพระราม พระลักษณ์ ทศกัณฐ์ หนุมาน พาลี ฯลฯ รวมทั้งรายละเอียดของเครื่องแต่งกายและขั้นตอนการทำหัวโขน
       นอกจากนี้ยังมีหุ่นละครเล็กพระรามกับนางสีดาและทศกัณฑ์กับหนุมานของนายสาคร ยังเขียวสด ศิลปินแห่งชาติปี 2539 สาขาศิลปะการแสดง ซึ่งจะจัดแสดงอยู่ภายในห้องด้วย
       เรือนไทยหลังที่ 8 เดิมเรือนหลังนี้ คุณท่านใช้แสดงภาพเขียน ซึ่งต่อมาได้มอบให้แก่หอศิลป์พีระศรีไป คุณท่านจึงจัดชั้นบนเป็นที่แสดงวัตถุโบราณบ้านเชียง ซึ่งจัดอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยค้นพบที่จังหวัดอุดรธานีเมื่อปี พ.ศ. 2509 และวัตถุโบราณบ้านเชียงเหล่านี้ คุณท่านสะสมไว้ เริ่มแรกตั้งแต่มีการขุดค้นพบ นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงพัฒนาการทางสังคมและความเจริญของชุมชนในหมู่บ้าน ซึ่งมีอายุประมาณ 1,800-5,600 ปี มีภาชนะดินเผาที่มีเอกลักษณ์ในการเขียนสีแดงแบบแปลกๆ รวมทั้งภาชนะดินเผาที่ไม่มีลายเขียนสีและที่เขียนสีบางส่วน ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าภาชนะดินเผาเขียนสีทั้งลูก
      นอกจากนี้ยังมีวัตถุโบราณที่ใช้เป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยลูกปัด มีลูกกลิ้งดินเผาที่ใช้พิมพ์ลวดลายไปบนผ้า และแม่พิมพ์ที่ใช้ในการทำอาวุธ รวมทั้งวัตถุโบราณที่ทำมาจากสำริดอื่นๆ เช่น หัวขวาน หัวธนู กำไลแขน คอ และแหวน ซึ่งบางชิ้นยังมีกระดูกมนุษย์ติดอยู่ จึงทำให้วัตถุโบราณบ้านเชียงนับเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของอารยธรรมโลก
      ชั้นล่างของเรือนบ้านเชียง ได้จัดแสดงตัวอย่างหินและเปลือกหอย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ห้องทางด้านซ้ายจัดแสดงหินภูเขาไฟ ซึ่งได้มาจากอำเภอลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี และบางจังหวัดทางภาคเหนือ ห้องทางด้านขวาจัดแสดงซากสัตว์โบราณขนาดเล็กที่อยู่ในหินฟอสซิล รวมทั้งไม้กลายเป็นหิน ส่วนหอยได้มาจากต่างประเทศ

      หลังจากที่ชมเรือนที่แปดเส็ดเรียบร้อยก็จะเดินลงมาเพื่อกลับไปยัง ศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์ ระหว่างทางจะเจอกับบ้าน ซึ่งไม่ทราบว่าปัจจุบันมีใครอาศัยอยู่รึเปล่า
คงจะเป็นที่อิจฉาไม่น้อยเพราะได้อยู่ในบรรยากาศดีๆแบบนี้


 บรรยากาศทางเดินระหว่างบ้านพักเพื่อกลับไปยังจุดที่จอดรถ


      วันนี้ ผมได้ใช้เวลาเดินชมภายในวังสวนผักกาดแห่งนี้ประมาณ 3 ชม เพื่อที่จะซึบซับสถาปัตยกรรมไทย
แม้ว่ารอบนอกของวังสวนผักกาดนี้จะเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องต่างๆ ที่เป็นสมัยใหม่แต่ก็ไม่ได้บดบัง
ความงามของวังสวนผักกาดแห่งนี้ได้เลยทำให้ผมรู้ว่าสถาปัตยกรรมไทยนั้นเป็นสิ่งที่ยั่งยืนและ
ไม่มีวันตาย




เครดิต : http://www.suanpakkad.com
              เอกสารแผ่นพับ จากพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด

ธีรวุฒิ หล่อวิวัฒนพงศ์ 52020039

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สถาปนิก IDOL

พี่สุรชัย เอกภพโยธิน หรือพี่เล็ก แห่งออฟฟิศ เอที
กรรมการผู้จัดการ และ สถาปนิก บริษัท ออฟฟิศเอที จำกัด





       

                                สุรชัย เอกภพโยธิน หรือพี่เล็กเข้าเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตั้งแต่ปี 2532 หลังจากจบปริญญาตรีก็ได้ไปทำงานที่บริษัท Plan Associate เป็นระยะเวลาปีกว่าๆ หลังจากนั้นก็ได้ออกมาเรียนภาษาอยู่ช่วงหนึ่งแล้วจึงไปเรียนต่อที่ University of Michigan Ann Arbor ปริญญาโท เรียนอยู่สองปี ซึ่งตอนนั้นก็อยู่ในช่วงของวิกฤตของปี 40 ค่าเงินก็ผันผวนตอนนั้นเลยพยายามเร่งรัดให้จบเพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเปลืองเงิน ก็ประมาณสามเทอมกับอีกหนึ่งซัมเมอร์ หลังจากจบมาแล้วก็อยู่ทำงานต่อที่ NEW YONK ประมาณสามปีที่ Meltzer Mandl Architect เพราะคิด ว่าถ้ากลับมาในช่วงนั้นคงจะไม่มีงานทำเพราะเศรษฐกิจมันยังไม่พื้นตัว แล้วก็กลับมาเปิดออฟฟิศ เอที ที่ไทยในปี 2001 จนถึงปัจจุบัน








Q : อยากให้พี่พูดถึงงานที่เป็นตัวอย่างที่ดีของงานอื่นต่อไปครับ
A : พูดถึงงาน พี่รู้สึกชอบงานของตัวเองเกือบทุกๆงาน เพราะทุกงานก็พยายามทำให้ออกมาดูมีความน่าสนใจ งั้นจะยกตัวอย่างงานที่เป็นงานสาธารณะหน่อย เป็นงานค่อนข้างเก่าหน่อย ซึ่งถือเป็นใหญ่งานแรกที่ออฟฟิศได้รับอาจถือว่าเป็นงานที่ประทับใจครั้งแรกกับงานที่เป็นงานออกแบบสาธารณะ คืองานหอศิลป์ มหาวิทยาลัย กรุงเทพ เป็นงานแรกๆ ที่เราต้องเผชิญ ได้ความรู้จากงานนั้นหลายๆเรื่อง มีอุปสักบ้าง เป็นงานที่เราได้เรียนรู้อะไรกับมันมาก


Bangkok University International College and Art Gallery / OFFICE AT Co.


Q : อยากให้พี่ยกตัวอย่างผลงานของพี่เองที่พี่ชื่นชอบที่สุดครับ
A : ถ้าให้ตอบว่าที่สุดคงไม่มีเพราะอย่างที่เคยบอกคือชอบทุกงาน แต่ละงานก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน คือบางคนอาจจะเลือกได้แต่สำหรับผมเลือกไม่ได้ เพราะแต่ละงานเราก็ทุ่มเท และแต่ละงานก็มีข้อจำกัดต่าง กัน ขอใช้คำว่าชอบหลายงานดีกว่า เพราะบางงานในออฟฟิศเราก็เลือกไม่ได้ บางงานก็อาจจะมีข้อจำกัดอย่างบางงานเจ้าของโครงการก็ไม่เข้าใจงานเรา แต่เรารับปากจะทำงานไปแล้วก็ทำงานนั้นให้มันจบ คืองานที่ได้ออกมาก็อาจจะไม่ถึง 100% หรือบางงานเจ้าของเขาเปิดให้เราทำเต็มที่เลยแล้วเราก็ทำแล้วเราก็ชอบแบบนี้ก็มีเยอะ อย่างงานที่ทำมีลูกค้าชอบไม่เปลี่ยนแบบเลยก็มี และแบบที่เปลี่ยนแบบจนเป็นดีไซน์ลูกค้าเลยก็มี เพราะฉะนั้นก่อนเรารับงานก็ต้องคิดให้หนัก


Q : ข้อคิดที่สำคัญในการทำงานคืออะไรครับ
A : สมมติการทำงานชิ้นหนึ่งให้มันดี หรือทำงานให้มีปัญหาน้อย จริงๆแล้วปัญหามันก็เกิดขึ้นกับงานทุกชิ้น จริงๆเราก็ต้องคิดตั้งแต่ต้นให้ครอบคลุมถึงทุกๆจุด ไม่ว่าจะเป็นดีเทลด้านต่างๆ เนื่องจากเราคิดออกมาเยอะ เราก็ต้องมาเขียนแบบเพื่อที่จะแสดงตรงว่าตอนนั้นเรากำลังคิดถึงประเด็นนั้นประเด็นนี้ไปแล้ว แล้วพอไปทำในงานก็จะได้งานที่ดีเพราะเรามองปัญหาของงานนั้นออกแล้วตั้งแต่ต้นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ทำรายละเอียดต่างๆออกมาเพื่อแก้ปัญหานั้น แต่จริงๆแล้วเวลาเราทำงานจริง ไม่ว่าเราจะคิดมาดียังไง ที่หน้างานก็มันจะมีปัญหาอะไรที่เราคาดไม่ถึงอยู่เสมอก็ต้องแก้ปัญหานั้นต่อไป เพราะฉะนั้นงานหนึ่งๆ เนี่ยมันใช้เวลานาน กว่าจะเขียนแบบก็ปีหนึ่ง ครึ่งปีกว่าจะสร้างจริงก็ใช้เวลาหนึ่งปี เพราะฉนั้นเราจึงต้องทุ่มเทกับงานนั้น และดูแลมันอยู่ตลอด
      พูดถึงหลายๆคนเลือกเรียนวิชาสถาปัตย์คล้ายๆกับว่ามีความถนัดต่างกัน บางคนอาจบอกว่าจบไปแล้วผมอยากเป็นดีไซน์เนอร์ ก็อาจมีคนที่ถนัดสายต่างๆนะ เช่นดีไซน์ คุมงานก่อสร้าง เขียนแบบบ้าง บางคนก็ชอบงานดีเทล ก็อยากจะให้ลองทำงานดูเพื่อที่จะรู้แนวทางของตนเองเมื่อรู้ว่าเราชอบงานแบบไหน พยายามหาตัวของตัวเองให้เจอ เพราะบางคนอาจจะรู้สึกไม่ชอบงานทางด้านสถาปัตย์เลยก็ได้ แล้วส่วนใหญ่ที่จบมาก็ทำงานจริงกันน้องลงไปเรื่อยๆ อย่างรุ่นเดียวกันกับผมอาจจะเหลือทำงานด้านสถาปัตย์ประมาณ 10% ได้ แต่ถ้าคิดจะทำงานให้มันดีแล้วมันก็ต้องทุ่มเท คือพอคุณรู้ว่าคุณชอบ คุณก็ต้องทุ่มเทกับงานนั้น ก็ต้องทุ่มเททุกอย่าง ลมหายใจเป็นสถาปัตย์ ก็คือกับว่าข้อคิดจริงๆแล้ว เหมือนกับใส่ใจมันเมื่อคุณชอบเมื่อไหร่มันก็ทำได้ดี


Q : พี่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพครับ
A : คือมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือที่มีมันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เป็นการควบคุมให้คนไม่ออกนอกลู่นอกทางเท่าไร เพราะเนื่องจากในวิชาชีพสถาปัตย์มันเกี่ยวพันธ์กับคนอื่นเยอะ คุณอาจจะบอกว่าผมทำบ้านไม่เห็นจะเกี่ยวกับคนอื่นตรงไหน ความจริงแค่บ้านก็เกี่ยวแล้วเพราะตัวบ้านเองก็ต้องตั้งอยู่ใกล้ๆบ้านคนอื่นติดกับพื้นที่สาธารณะเพราะฉะนั้น งานสถาปัตย์ไม่ว่าจะเป็นงานใดก็ตาม คือคนที่เห็นมันก็จะเห็นมันอยู่ตลอด ต่อให้คุณทำแล้วบอกว่าที่ทำออกมาแล้วไม่ได้รบกวนคนอื่นแต่ถ้าสิ่งที่คุณทำออกมาแล้วมันดูมีหน้าตาอุบาตหรือน่าเกลียดมากก็กลายเป็นว่าทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเขาก็ได้ผลกระทบอยู่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำไม่ว่างานจะเล็กใหญ่ล้วนแต่มีผลกระทบต่อคนอื่นๆทั้งนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องที่จะหลีกเลี้ยงไม่ได้ที่จะต้องมีจรรยาบรรณคอยคุมไว้หนึ่งจุดเพื่อให้งานที่ออกมาไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ แต่ทีเนี่ยก็ต้องดูกันอีกทีในเรื่องของจรรยาบรรณว่าส่วนไหนดี ส่วนไหนควรปรับปรุง คือบางอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของปัจจุบัน


Q : พี่มีความคิดอย่างไรกับกับวิชาชีพสถาปนิกที่ถูกกดขี่ครับ
A : อันนี้ก็แล้วแต่คน อาจเป็นความโชคร้ายหรือคุณเองทำตัวให้เขากดคุณก็จะถูกกดอยู่ตลอด ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นอย่างนี้ งั้นคุณก็ต้องทำคุณภาพของตัวเองให้มันดีขึ้น คนที่เขากดเราก็ไม่ต้องไปสนใจมาสนใจกับคนที่เขาให้คุณค่ากับงานเราอย่างเรื่องราคาถ้าคุณทำราคาถูกๆแข่งกับคนอื่นมันก็ต้องถูกกดอยู่ร่ำไป อย่างการแข่งขันให้ราคาถูกกัน ก็เหมือนเขาไม่เห็นคุณค่าของงานเราก็อย่าเสียเวลาไปทำให้กับมัน หรืออย่างพวกการทำ Freelance อย่างคนที่เขาหาคนทำ Freelance ก็เพราะเขาเองก็อยากได้งานที่ราคามันถูก


Q : พี่คิดว่าสถาปนิกที่ลาดกระบังผลิตออกมามีคุณภาพอย่างไรบ้างครับ
A : สถาปนิกที่ลาดกระบังออกมาส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ทำงานในแบบที่จริงๆจังๆสักเท่าไร คือมีอย่างจำนวนมากที่ไปทำในบริษัทรับเหมาบ้าง CM บ้างหรือว่าในบริษัทเล็กๆ คืออันนี้พูดให้มุมมองของผมนะคือทำให้เราขาดความทะเยอทะยานที่อยากจะทำงานในระดับงานที่มันดี คือบางคนไม่คิดที่จะอยากเป็นดีไซน์เนอร์เลย ออกไปคิดจะทำงานก่อสร้างงานรับเหมาก่อสร้างที่ได้เงินดี ซึ่งมันไม่ใช่มีความทะเยอทะยานที่อยากจะทำงานออฟฟิศดีๆ อยากจะทำงานออกแบบชั้นเลิศในประเทศ มันไม่ค่อยเห็นคนที่ออกมาพูดในลักษณะนี้ คือพูดถึงถ้าอยากทำงานออกมาให้มันดีเราก็ต้องเคยอยู่เคยทำงานในออฟฟิศที่มันดีๆ ไม่ใช่ไปทำงานอยู่กับบริษัทอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะมาบอกว่าผมอยากจะทำงานออกมาให้มันดี แล้วเราจะไปรู้ได้ยังไงว่างานที่ดีแล้วจริงๆหน้าตามันเป็นยังไง ถ้าคุณไม่รู้ว่างานที่ดีนั้นเป็นยังไงแลัวคุณจะสร้างงานที่ดีนั้นออกมาได้ยังไร
    ก็เลยคิดว่าเท่าที่รับรู้หลายคนที่จบลาดกระบังเข้าไปทำงานกับบริษัทที่ไม่ค่อยเน้นด้านการออกแบบเลย ต้องถามกลับว่าเราได้เรียนรู้อะไร ประสบการณ์ที่เราสั่งสมไม่ใช่ว่าเราไปทำงานพรีเซนท์ งานพรีเซนท์ใครๆก็ทำได้เด็กจบใหม่ก็ทำได้ แต่ว่าพวกรายละเอียดพวกงานพวกวิธีคิดต่างๆ ที่เราต้องควรจะเรียนรู้ ให้เรื่องเงินเรื่องอะไรต่างๆเป็นเรื่องรอง ควรจะเน้นว่าเราได้ทำงานอะไรเราได้เรียนรู้อะไรไปมากกว่า เพราะฉะนั้น การทำงานจะเลือกที่ทำงานโดยมีเหตุผลเพราะมันใกล้บ้านหรือครับ มันก็เหตุผมที่ธรรมดาเกินไปคือวันๆคุณจะอยู่แค่นี้หรือ หรือว่าทำงานเพราะเงินเยอะ และคุณจะต้องการแบบนั้นไปตลอดไปอย่างงั้นหรือ
   สิ่งที่อยากฝากให้เด็กสถาปัตย์ลาดกระบัง อยากให้บัณฑิตที่ออกมารักในงานสถาปัตยกรรม ไม่ใช่ว่าจะต้องดีไซน์เก่ง แต่ว่าก็ต้องมีความต้องการที่อยากจะได้ของดีอยากมีงานสถาปัตย์ที่ดี แม้ว่าดีไซน์ไม่เก่งก็อาจจะอยู่ในวงการที่ออกแบบงานที่ดี อย่างเช่น ถ่ายรูปเก่งก็อยากจะถ่ายรูปงานที่มันดี ควบคุมงานเก่งก็อาจจะควบคุมงานให้มันออกมาดี ไม่ใช่ว่าคุณออกมาแล้วไปทำงานบริษัทสร้างบ้าน หรือบริษัทอะไรไม่รู้ที่รู้สึกว่าขอให้ได้งาน และจบไปแบบอย่างนั้น

Q : อยากให้พี่เล่าถึงบรรยากาศสมัยที่พี่เรียนที่ลาดกระบังครับ
A : คือสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง คือตอนสมัยนั้นพี่ก็ไม่ได้อยู่หอก็จะมีเพื่อนๆที่อยู่ต่างจังหวัดเขาก็อยู่หอกัน สมัยนั้นก็นั่งรถไฟไปเรียนซึ่งตารางเวลาสอนเค้าก็จะจัดมาเพื่อให้เลิกตรงกับเวลารถไฟอยู่แล้ว ไม่รู้สมัยนี้เป็นยังไงแต่คงจะอยู่หอกันหมด พูดถึงตอนนั้นที่ไม่ได้อยู่หอมันก็มีข้อดีข้อเสีย คือเราไม่ได้หมกตัวอยู่แต่ในลาดกระบัง คือช่วงก่อนกลับ หรือบางทีเราก็ไม่ได้กลับคือไปดูว่าตอนนี้คนอื่นเขาทำอะไรกันไปบ้าง มีอะไรเปิดใหม่บ้าง ห้างนี้เป็นยังไงบ้าง คือเราต้องรู้เห็นมาก บางคนก็อยู่แต่หอไม่ไปไหนอยู่แต่หอโลกของเรามีแค่นี้ นั้นคือข้อดี แต่ข้อเสียมันก็มีเหมือนกันกว่าจะเดินทางไปกว่าจะกลับมันก็เหนื่อยเหมือนกัน พอมาถึงตอนเรียนคือในรุ่นของพี่ก็จะมีคนที่เก่งที่คอยฉุดเพื่อนๆ ให้พยายามที่ตามไปให้ได้ ทำให้เรารู้จัดการพยายามทำมันออกมาให้ดีกว่า
    นี้ก็เป็นบรรยากาศในรุ่นของพี่เอง เหมือนเห็นว่าเขาทำดีแล้วเราก็ต้องทำออกมาให้ได้งานที่มันดีด้วยคือไม่ใช่พากันฉุดกันขี้เกียจอะไรประมาณนี้ ส่วนเรื่องกิจกรรมก็คนจะยังมีเหมือนๆกันอยู่แล้ว ถ้าไล่ๆดูแล้วตอนนี้เพื่อนที่อยู่รุ่นเดียวกันตอนนี้ก็มีเป็นอาจารย์อยู่ตามมหาลัยบ้าง ที่เอแบ็คก็มี ที่บางมดก็มี หรือเป็นอาจารย์พิเศษที่อื่นๆก็มี















Q : พี่รู้สึกชอบและรักในสถาปัตย์ตั้งแต่เรียนเลยไหมครับ
A : จะให้พูดอย่างงั้นเลยก็ได้นะครับ ที่พี่ชอบเพราะรู้สึกว่ามันท้าทาย คือตอนเรียนพี่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนดีอะไร ตอนเรียนเทอมแรกก็เกือบๆจะตก 2.1 แล้วก็ค่อยๆเรียนกับมันไปเรื่อยๆไม่ค่อยได้พยามยามมากคือเรารู้สึกว่ามันสนุกและมันท้าทายเกรดมันก็ขึ้นไปเรื่อยๆจนเรียนจบ แต่เกรดก็ไม่ได้ขึ้นสูงอะไรเพียงแต่เรารู้ตัวว่าเราสนุกกับมัน
    พูดถึงตอนทำทีสิส ตอนนั้นพี่ทำมิวเซียม ตรวจกับอาจารย์เอกพงษ์ จุลเสนีย์ ก็เป็นอาจารย์ที่ตรวจค่อนข้างเน้นไปทางคอนเซ็ป ปัจจุบันอาจารย์ไปเป็นคณบดีอยู่ที่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สมัยนั้นมันก็เป็นสูตร คือถ้าอยากทำอะไรที่มันได้คิดเยอะหน่อย แม้ฟังก์ชั่นจะไม่เยอะแต่ก็เปิดโอกาศให้ได้คิดเยอะขึ้น ก็ต้องทำมิวเซียมแต่นี่ก็เป็นความคิดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วไม่รู้สมันี้ยังเป็นอยู่รึเปล่า แต่เดียวคือคงไม่จำเป็นต้องเป็นมิวเซียม จะทำอะไรก็สนุกได้เพียงแค่เราคิดให้มันต่างออกไป แม้กระทั้งโรงพยาบาล ต่อให้คอนเซ็ปออกมาจะต้องมีฟังก์ชั่นเป๊ะๆ ก็ตามแต่มันก็ยังไม่เรื่องให้เราได้คิดไปอีกเยอะถ้าเรามีเวลา

Q : ตอนสมัยเรียนพี่ชื่นชอบผลงานของสถาปนิกคนไหนบ้างครับ
A : สมัยแรกๆอาจารย์เริ่มสอนก็ไม่ค่อยรู้จักใครก็เลยไปไล่เปิดหนังสือดูก็เริ่มชอบ Richard Neutra เก่ามากหน่อย พอเรียนไปเรื่อยปีสองปีสามก็เป็น Richard Meier พอเรียนปีสี่ปีห้าก็รู้สึกว่าตอนนั้นเป็นกระแสของดีคอนสตรัคชั่น ก็จะมาเป็น Morphosis พอเรียนไปเรื่อยๆดูไปเรื่อยๆตอนนี้ก็ชอบเยอะแยะเต็มไปหมดคือเราก็ต้องดูงานให้กว้างๆ อย่างตอนนี้ที่ชื่นชอบคงจะเป็น OMA คือเราตัดประเด็นเรื่องของฟอร์มอะไรออกไปเพราะมันจะทำให้มันออกมาสวยยังไงก็สวยได้ แต่เรื่องไอเดียของมันต่างหากที่เป็นเรื่องน่าสนใจ ก็เปรียบเหมือนกับผู้หญิงที่เราอาจจะเห็นว่าสวยดีแต่พอเราได้คุยเรื่อยๆกลับหน้าเบื่อ แต่บางคนกลับได้คุยแล้วรู้สึกสนุก บางทีฟอร์มมันอาจจะดูไม่มีอะไรเลยแต่ความคิดที่อยู่เบื่องหลังมันน่าสนใจกว่ามันก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุก และก็รู้สึกว่าน่าสนใจมากขึ้นมากกว่าแค่รู้ร่างภายนอก แต่ถ้าฟอร์มสวยไปได้ด้วยก็ยิ่งดี



Q : อยากให้พี่พูดสรุปถึงวิชาชีพสถาปนิกครับ
A : คือคนที่จบมาทำงาน 100% ไปเรื่อยๆคนทำงานในวงการนี้จริงๆก็ค่อยลดลง เพราะบางคนอาจคิดว่ามันเป็นงานที่หนักและกว่าจะเห็นผลงานก็เป็นอะไรที่ช้าและเงินก็ไม่ได้มากมาย เมื่อพอเราไต่เต้าได้ถึงจุดๆหนึ่งก็จะพอมีเงินบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นมหาเศรษฐี เพราะฉะนั้นคงที่ทำอาชีพนี้ก็คงต้องใจรักจริงๆ และมีความอดทนเพราะงานแต่ละกว่าจะจบก็ต้องใช้เวลา ปัจจุบันที่ผ่านมาอาจฟังเหมือนมีแต่เรื่องแย่ๆ แต่ที่จริงแล้วมันก็มีความสุขถ้าเป็นงานที่เราชอบและเราได้รู้สึกว่าได้ทำอะไรได้คิดอะไรทุกวัน แปลกใหม่ทุกวันไม่ใช่เป็นงานที่น่าเบื่อ ไม่ใช่วันๆเอาแต่นั่งคิดตัวเลข ก็คือถ้าคุณชอบมันคุณก็จะมีความสุขไปกับอาชีพนี้





         สุดท้ายนี้ก็ขอขอบพระคุณ พี่เล็ก ที่สละเวลามาให้ได้มีโอกาศได้เข้าไปสัมภาษณ์ และขอขอบพระคุณวิชา Professional Practice ที่สร้างโอกาศดีดีนี้ขึ้นมาให้กับผมครับ





ธีรวุฒิ หล่อวิวัฒนพงศ์ 52020039 ผู้สัมภาษณ์