กรรมการผู้จัดการ และ สถาปนิก บริษัท ออฟฟิศเอที จำกัด

สุรชัย เอกภพโยธิน หรือพี่เล็กเข้าเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตั้งแต่ปี 2532 หลังจากจบปริญญาตรีก็ได้ไปทำงานที่บริษัท Plan Associate เป็นระยะเวลาปีกว่าๆ หลังจากนั้นก็ได้ออกมาเรียนภาษาอยู่ช่วงหนึ่งแล้วจึงไปเรียนต่อที่ University of Michigan Ann Arbor ปริญญาโท เรียนอยู่สองปี ซึ่งตอนนั้นก็อยู่ในช่วงของวิกฤตของปี 40 ค่าเงินก็ผันผวนตอนนั้นเลยพยายามเร่งรัดให้จบเพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเปลืองเงิน ก็ประมาณสามเทอมกับอีกหนึ่งซัมเมอร์ หลังจากจบมาแล้วก็อยู่ทำงานต่อที่ NEW YONK ประมาณสามปีที่ Meltzer Mandl Architect เพราะคิด ว่าถ้ากลับมาในช่วงนั้นคงจะไม่มีงานทำเพราะเศรษฐกิจมันยังไม่พื้นตัว แล้วก็กลับมาเปิดออฟฟิศ เอที ที่ไทยในปี 2001 จนถึงปัจจุบัน
Q : อยากให้พี่พูดถึงงานที่เป็นตัวอย่างที่ดีของงานอื่นต่อไปครับ
A : พูดถึงงาน พี่รู้สึกชอบงานของตัวเองเกือบทุกๆงาน เพราะทุกงานก็พยายามทำให้ออกมาดูมีความน่าสนใจ งั้นจะยกตัวอย่างงานที่เป็นงานสาธารณะหน่อย เป็นงานค่อนข้างเก่าหน่อย ซึ่งถือเป็นใหญ่งานแรกที่ออฟฟิศได้รับอาจถือว่าเป็นงานที่ประทับใจครั้งแรกกับงานที่เป็นงานออกแบบสาธารณะ คืองานหอศิลป์ มหาวิทยาลัย กรุงเทพ เป็นงานแรกๆ ที่เราต้องเผชิญ ได้ความรู้จากงานนั้นหลายๆเรื่อง มีอุปสักบ้าง เป็นงานที่เราได้เรียนรู้อะไรกับมันมาก
Bangkok University International College and Art Gallery / OFFICE AT Co.
Q : อยากให้พี่ยกตัวอย่างผลงานของพี่เองที่พี่ชื่นชอบที่สุดครับ
A : ถ้าให้ตอบว่าที่สุดคงไม่มีเพราะอย่างที่เคยบอกคือชอบทุกงาน แต่ละงานก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน คือบางคนอาจจะเลือกได้แต่สำหรับผมเลือกไม่ได้ เพราะแต่ละงานเราก็ทุ่มเท และแต่ละงานก็มีข้อจำกัดต่าง กัน ขอใช้คำว่าชอบหลายงานดีกว่า เพราะบางงานในออฟฟิศเราก็เลือกไม่ได้ บางงานก็อาจจะมีข้อจำกัดอย่างบางงานเจ้าของโครงการก็ไม่เข้าใจงานเรา แต่เรารับปากจะทำงานไปแล้วก็ทำงานนั้นให้มันจบ คืองานที่ได้ออกมาก็อาจจะไม่ถึง 100% หรือบางงานเจ้าของเขาเปิดให้เราทำเต็มที่เลยแล้วเราก็ทำแล้วเราก็ชอบแบบนี้ก็มีเยอะ อย่างงานที่ทำมีลูกค้าชอบไม่เปลี่ยนแบบเลยก็มี และแบบที่เปลี่ยนแบบจนเป็นดีไซน์ลูกค้าเลยก็มี เพราะฉะนั้นก่อนเรารับงานก็ต้องคิดให้หนัก
Q : ข้อคิดที่สำคัญในการทำงานคืออะไรครับ
A : สมมติการทำงานชิ้นหนึ่งให้มันดี หรือทำงานให้มีปัญหาน้อย จริงๆแล้วปัญหามันก็เกิดขึ้นกับงานทุกชิ้น จริงๆเราก็ต้องคิดตั้งแต่ต้นให้ครอบคลุมถึงทุกๆจุด ไม่ว่าจะเป็นดีเทลด้านต่างๆ เนื่องจากเราคิดออกมาเยอะ เราก็ต้องมาเขียนแบบเพื่อที่จะแสดงตรงว่าตอนนั้นเรากำลังคิดถึงประเด็นนั้นประเด็นนี้ไปแล้ว แล้วพอไปทำในงานก็จะได้งานที่ดีเพราะเรามองปัญหาของงานนั้นออกแล้วตั้งแต่ต้นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ทำรายละเอียดต่างๆออกมาเพื่อแก้ปัญหานั้น แต่จริงๆแล้วเวลาเราทำงานจริง ไม่ว่าเราจะคิดมาดียังไง ที่หน้างานก็มันจะมีปัญหาอะไรที่เราคาดไม่ถึงอยู่เสมอก็ต้องแก้ปัญหานั้นต่อไป เพราะฉะนั้นงานหนึ่งๆ เนี่ยมันใช้เวลานาน กว่าจะเขียนแบบก็ปีหนึ่ง ครึ่งปีกว่าจะสร้างจริงก็ใช้เวลาหนึ่งปี เพราะฉนั้นเราจึงต้องทุ่มเทกับงานนั้น และดูแลมันอยู่ตลอด
พูดถึงหลายๆคนเลือกเรียนวิชาสถาปัตย์คล้ายๆกับว่ามีความถนัดต่างกัน บางคนอาจบอกว่าจบไปแล้วผมอยากเป็นดีไซน์เนอร์ ก็อาจมีคนที่ถนัดสายต่างๆนะ เช่นดีไซน์ คุมงานก่อสร้าง เขียนแบบบ้าง บางคนก็ชอบงานดีเทล ก็อยากจะให้ลองทำงานดูเพื่อที่จะรู้แนวทางของตนเองเมื่อรู้ว่าเราชอบงานแบบไหน พยายามหาตัวของตัวเองให้เจอ เพราะบางคนอาจจะรู้สึกไม่ชอบงานทางด้านสถาปัตย์เลยก็ได้ แล้วส่วนใหญ่ที่จบมาก็ทำงานจริงกันน้องลงไปเรื่อยๆ อย่างรุ่นเดียวกันกับผมอาจจะเหลือทำงานด้านสถาปัตย์ประมาณ 10% ได้ แต่ถ้าคิดจะทำงานให้มันดีแล้วมันก็ต้องทุ่มเท คือพอคุณรู้ว่าคุณชอบ คุณก็ต้องทุ่มเทกับงานนั้น ก็ต้องทุ่มเททุกอย่าง ลมหายใจเป็นสถาปัตย์ ก็คือกับว่าข้อคิดจริงๆแล้ว เหมือนกับใส่ใจมันเมื่อคุณชอบเมื่อไหร่มันก็ทำได้ดี
Q : พี่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพครับ
A : คือมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือที่มีมันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เป็นการควบคุมให้คนไม่ออกนอกลู่นอกทางเท่าไร เพราะเนื่องจากในวิชาชีพสถาปัตย์มันเกี่ยวพันธ์กับคนอื่นเยอะ คุณอาจจะบอกว่าผมทำบ้านไม่เห็นจะเกี่ยวกับคนอื่นตรงไหน ความจริงแค่บ้านก็เกี่ยวแล้วเพราะตัวบ้านเองก็ต้องตั้งอยู่ใกล้ๆบ้านคนอื่นติดกับพื้นที่สาธารณะเพราะฉะนั้น งานสถาปัตย์ไม่ว่าจะเป็นงานใดก็ตาม คือคนที่เห็นมันก็จะเห็นมันอยู่ตลอด ต่อให้คุณทำแล้วบอกว่าที่ทำออกมาแล้วไม่ได้รบกวนคนอื่นแต่ถ้าสิ่งที่คุณทำออกมาแล้วมันดูมีหน้าตาอุบาตหรือน่าเกลียดมากก็กลายเป็นว่าทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเขาก็ได้ผลกระทบอยู่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำไม่ว่างานจะเล็กใหญ่ล้วนแต่มีผลกระทบต่อคนอื่นๆทั้งนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องที่จะหลีกเลี้ยงไม่ได้ที่จะต้องมีจรรยาบรรณคอยคุมไว้หนึ่งจุดเพื่อให้งานที่ออกมาไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ แต่ทีเนี่ยก็ต้องดูกันอีกทีในเรื่องของจรรยาบรรณว่าส่วนไหนดี ส่วนไหนควรปรับปรุง คือบางอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของปัจจุบัน
Q : พี่มีความคิดอย่างไรกับกับวิชาชีพสถาปนิกที่ถูกกดขี่ครับ
A : อันนี้ก็แล้วแต่คน อาจเป็นความโชคร้ายหรือคุณเองทำตัวให้เขากดคุณก็จะถูกกดอยู่ตลอด ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นอย่างนี้ งั้นคุณก็ต้องทำคุณภาพของตัวเองให้มันดีขึ้น คนที่เขากดเราก็ไม่ต้องไปสนใจมาสนใจกับคนที่เขาให้คุณค่ากับงานเราอย่างเรื่องราคาถ้าคุณทำราคาถูกๆแข่งกับคนอื่นมันก็ต้องถูกกดอยู่ร่ำไป อย่างการแข่งขันให้ราคาถูกกัน ก็เหมือนเขาไม่เห็นคุณค่าของงานเราก็อย่าเสียเวลาไปทำให้กับมัน หรืออย่างพวกการทำ Freelance อย่างคนที่เขาหาคนทำ Freelance ก็เพราะเขาเองก็อยากได้งานที่ราคามันถูก
Q : พี่คิดว่าสถาปนิกที่ลาดกระบังผลิตออกมามีคุณภาพอย่างไรบ้างครับ
A : สถาปนิกที่ลาดกระบังออกมาส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ทำงานในแบบที่จริงๆจังๆสักเท่าไร คือมีอย่างจำนวนมากที่ไปทำในบริษัทรับเหมาบ้าง CM บ้างหรือว่าในบริษัทเล็กๆ คืออันนี้พูดให้มุมมองของผมนะคือทำให้เราขาดความทะเยอทะยานที่อยากจะทำงานในระดับงานที่มันดี คือบางคนไม่คิดที่จะอยากเป็นดีไซน์เนอร์เลย ออกไปคิดจะทำงานก่อสร้างงานรับเหมาก่อสร้างที่ได้เงินดี ซึ่งมันไม่ใช่มีความทะเยอทะยานที่อยากจะทำงานออฟฟิศดีๆ อยากจะทำงานออกแบบชั้นเลิศในประเทศ มันไม่ค่อยเห็นคนที่ออกมาพูดในลักษณะนี้ คือพูดถึงถ้าอยากทำงานออกมาให้มันดีเราก็ต้องเคยอยู่เคยทำงานในออฟฟิศที่มันดีๆ ไม่ใช่ไปทำงานอยู่กับบริษัทอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะมาบอกว่าผมอยากจะทำงานออกมาให้มันดี แล้วเราจะไปรู้ได้ยังไงว่างานที่ดีแล้วจริงๆหน้าตามันเป็นยังไง ถ้าคุณไม่รู้ว่างานที่ดีนั้นเป็นยังไงแลัวคุณจะสร้างงานที่ดีนั้นออกมาได้ยังไร
ก็เลยคิดว่าเท่าที่รับรู้หลายคนที่จบลาดกระบังเข้าไปทำงานกับบริษัทที่ไม่ค่อยเน้นด้านการออกแบบเลย ต้องถามกลับว่าเราได้เรียนรู้อะไร ประสบการณ์ที่เราสั่งสมไม่ใช่ว่าเราไปทำงานพรีเซนท์ งานพรีเซนท์ใครๆก็ทำได้เด็กจบใหม่ก็ทำได้ แต่ว่าพวกรายละเอียดพวกงานพวกวิธีคิดต่างๆ ที่เราต้องควรจะเรียนรู้ ให้เรื่องเงินเรื่องอะไรต่างๆเป็นเรื่องรอง ควรจะเน้นว่าเราได้ทำงานอะไรเราได้เรียนรู้อะไรไปมากกว่า เพราะฉะนั้น การทำงานจะเลือกที่ทำงานโดยมีเหตุผลเพราะมันใกล้บ้านหรือครับ มันก็เหตุผมที่ธรรมดาเกินไปคือวันๆคุณจะอยู่แค่นี้หรือ หรือว่าทำงานเพราะเงินเยอะ และคุณจะต้องการแบบนั้นไปตลอดไปอย่างงั้นหรือ
สิ่งที่อยากฝากให้เด็กสถาปัตย์ลาดกระบัง อยากให้บัณฑิตที่ออกมารักในงานสถาปัตยกรรม ไม่ใช่ว่าจะต้องดีไซน์เก่ง แต่ว่าก็ต้องมีความต้องการที่อยากจะได้ของดีอยากมีงานสถาปัตย์ที่ดี แม้ว่าดีไซน์ไม่เก่งก็อาจจะอยู่ในวงการที่ออกแบบงานที่ดี อย่างเช่น ถ่ายรูปเก่งก็อยากจะถ่ายรูปงานที่มันดี ควบคุมงานเก่งก็อาจจะควบคุมงานให้มันออกมาดี ไม่ใช่ว่าคุณออกมาแล้วไปทำงานบริษัทสร้างบ้าน หรือบริษัทอะไรไม่รู้ที่รู้สึกว่าขอให้ได้งาน และจบไปแบบอย่างนั้น
Q : อยากให้พี่เล่าถึงบรรยากาศสมัยที่พี่เรียนที่ลาดกระบังครับ
A : คือสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง คือตอนสมัยนั้นพี่ก็ไม่ได้อยู่หอก็จะมีเพื่อนๆที่อยู่ต่างจังหวัดเขาก็อยู่หอกัน สมัยนั้นก็นั่งรถไฟไปเรียนซึ่งตารางเวลาสอนเค้าก็จะจัดมาเพื่อให้เลิกตรงกับเวลารถไฟอยู่แล้ว ไม่รู้สมัยนี้เป็นยังไงแต่คงจะอยู่หอกันหมด พูดถึงตอนนั้นที่ไม่ได้อยู่หอมันก็มีข้อดีข้อเสีย คือเราไม่ได้หมกตัวอยู่แต่ในลาดกระบัง คือช่วงก่อนกลับ หรือบางทีเราก็ไม่ได้กลับคือไปดูว่าตอนนี้คนอื่นเขาทำอะไรกันไปบ้าง มีอะไรเปิดใหม่บ้าง ห้างนี้เป็นยังไงบ้าง คือเราต้องรู้เห็นมาก บางคนก็อยู่แต่หอไม่ไปไหนอยู่แต่หอโลกของเรามีแค่นี้ นั้นคือข้อดี แต่ข้อเสียมันก็มีเหมือนกันกว่าจะเดินทางไปกว่าจะกลับมันก็เหนื่อยเหมือนกัน พอมาถึงตอนเรียนคือในรุ่นของพี่ก็จะมีคนที่เก่งที่คอยฉุดเพื่อนๆ ให้พยายามที่ตามไปให้ได้ ทำให้เรารู้จัดการพยายามทำมันออกมาให้ดีกว่า
นี้ก็เป็นบรรยากาศในรุ่นของพี่เอง เหมือนเห็นว่าเขาทำดีแล้วเราก็ต้องทำออกมาให้ได้งานที่มันดีด้วยคือไม่ใช่พากันฉุดกันขี้เกียจอะไรประมาณนี้ ส่วนเรื่องกิจกรรมก็คนจะยังมีเหมือนๆกันอยู่แล้ว ถ้าไล่ๆดูแล้วตอนนี้เพื่อนที่อยู่รุ่นเดียวกันตอนนี้ก็มีเป็นอาจารย์อยู่ตามมหาลัยบ้าง ที่เอแบ็คก็มี ที่บางมดก็มี หรือเป็นอาจารย์พิเศษที่อื่นๆก็มี


Q : พี่รู้สึกชอบและรักในสถาปัตย์ตั้งแต่เรียนเลยไหมครับ
A : จะให้พูดอย่างงั้นเลยก็ได้นะครับ ที่พี่ชอบเพราะรู้สึกว่ามันท้าทาย คือตอนเรียนพี่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนดีอะไร ตอนเรียนเทอมแรกก็เกือบๆจะตก 2.1 แล้วก็ค่อยๆเรียนกับมันไปเรื่อยๆไม่ค่อยได้พยามยามมากคือเรารู้สึกว่ามันสนุกและมันท้าทายเกรดมันก็ขึ้นไปเรื่อยๆจนเรียนจบ แต่เกรดก็ไม่ได้ขึ้นสูงอะไรเพียงแต่เรารู้ตัวว่าเราสนุกกับมัน
พูดถึงตอนทำทีสิส ตอนนั้นพี่ทำมิวเซียม ตรวจกับอาจารย์เอกพงษ์ จุลเสนีย์ ก็เป็นอาจารย์ที่ตรวจค่อนข้างเน้นไปทางคอนเซ็ป ปัจจุบันอาจารย์ไปเป็นคณบดีอยู่ที่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สมัยนั้นมันก็เป็นสูตร คือถ้าอยากทำอะไรที่มันได้คิดเยอะหน่อย แม้ฟังก์ชั่นจะไม่เยอะแต่ก็เปิดโอกาศให้ได้คิดเยอะขึ้น ก็ต้องทำมิวเซียมแต่นี่ก็เป็นความคิดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วไม่รู้สมันี้ยังเป็นอยู่รึเปล่า แต่เดียวคือคงไม่จำเป็นต้องเป็นมิวเซียม จะทำอะไรก็สนุกได้เพียงแค่เราคิดให้มันต่างออกไป แม้กระทั้งโรงพยาบาล ต่อให้คอนเซ็ปออกมาจะต้องมีฟังก์ชั่นเป๊ะๆ ก็ตามแต่มันก็ยังไม่เรื่องให้เราได้คิดไปอีกเยอะถ้าเรามีเวลา
Q : ตอนสมัยเรียนพี่ชื่นชอบผลงานของสถาปนิกคนไหนบ้างครับ
A : สมัยแรกๆอาจารย์เริ่มสอนก็ไม่ค่อยรู้จักใครก็เลยไปไล่เปิดหนังสือดูก็เริ่มชอบ Richard Neutra เก่ามากหน่อย พอเรียนไปเรื่อยปีสองปีสามก็เป็น Richard Meier พอเรียนปีสี่ปีห้าก็รู้สึกว่าตอนนั้นเป็นกระแสของดีคอนสตรัคชั่น ก็จะมาเป็น Morphosis พอเรียนไปเรื่อยๆดูไปเรื่อยๆตอนนี้ก็ชอบเยอะแยะเต็มไปหมดคือเราก็ต้องดูงานให้กว้างๆ อย่างตอนนี้ที่ชื่นชอบคงจะเป็น OMA คือเราตัดประเด็นเรื่องของฟอร์มอะไรออกไปเพราะมันจะทำให้มันออกมาสวยยังไงก็สวยได้ แต่เรื่องไอเดียของมันต่างหากที่เป็นเรื่องน่าสนใจ ก็เปรียบเหมือนกับผู้หญิงที่เราอาจจะเห็นว่าสวยดีแต่พอเราได้คุยเรื่อยๆกลับหน้าเบื่อ แต่บางคนกลับได้คุยแล้วรู้สึกสนุก บางทีฟอร์มมันอาจจะดูไม่มีอะไรเลยแต่ความคิดที่อยู่เบื่องหลังมันน่าสนใจกว่ามันก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุก และก็รู้สึกว่าน่าสนใจมากขึ้นมากกว่าแค่รู้ร่างภายนอก แต่ถ้าฟอร์มสวยไปได้ด้วยก็ยิ่งดี
Q : อยากให้พี่พูดสรุปถึงวิชาชีพสถาปนิกครับ
A : คือคนที่จบมาทำงาน 100% ไปเรื่อยๆคนทำงานในวงการนี้จริงๆก็ค่อยลดลง เพราะบางคนอาจคิดว่ามันเป็นงานที่หนักและกว่าจะเห็นผลงานก็เป็นอะไรที่ช้าและเงินก็ไม่ได้มากมาย เมื่อพอเราไต่เต้าได้ถึงจุดๆหนึ่งก็จะพอมีเงินบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นมหาเศรษฐี เพราะฉะนั้นคงที่ทำอาชีพนี้ก็คงต้องใจรักจริงๆ และมีความอดทนเพราะงานแต่ละกว่าจะจบก็ต้องใช้เวลา ปัจจุบันที่ผ่านมาอาจฟังเหมือนมีแต่เรื่องแย่ๆ แต่ที่จริงแล้วมันก็มีความสุขถ้าเป็นงานที่เราชอบและเราได้รู้สึกว่าได้ทำอะไรได้คิดอะไรทุกวัน แปลกใหม่ทุกวันไม่ใช่เป็นงานที่น่าเบื่อ ไม่ใช่วันๆเอาแต่นั่งคิดตัวเลข ก็คือถ้าคุณชอบมันคุณก็จะมีความสุขไปกับอาชีพนี้
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบพระคุณ พี่เล็ก ที่สละเวลามาให้ได้มีโอกาศได้เข้าไปสัมภาษณ์ และขอขอบพระคุณวิชา Professional Practice ที่สร้างโอกาศดีดีนี้ขึ้นมาให้กับผมครับ
ธีรวุฒิ หล่อวิวัฒนพงศ์ 52020039 ผู้สัมภาษณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น