วังสวนผักกาดเป็นวังที่อยู่ติดกับถนนศรีอยุธยา การเดินทางสามารถโดยขึ้นรถไฟฟ้าแล้วลงที่สถานีพญาไท จากนั้นเดินมาทางโรงพยาบาลพญาไทก็จะถึงวังสวนผักกาดครับ ซึ่งที่นี้จะเปิดให้
เข้าชมตั้งแต่ 9โมงจนถึง 4โมงเย็นเลยทีเดียว
พอเข้ามาถึง จะเจออาคารศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ เป็นส่วน
ต้อนรับและซื้อบัตรเข้าชมวังสวนผักกาด ราคาบัตรจะอยู่ที่ 50 บาทสำหรับบุคคนทั่วไปและ
นักศึกษาจะราคา 20 บาท เมื่อจ่ายค่าบัตรเรียบร้อยจะมีพนักงานตอนรับอธิบายการเดินชมเล็กน้อย
และปล่อยให้เราเดินเข้าไปชมเลยครับ ซึ่งภายในส่วนต่างๆเขาจะไม่ให้ถ่ายรูปยกเว้นที่เป็นตัว
สถาปัตยกรรมเท่านั้น
โถงทางเข้าจาก ศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์
ผังของวังสวนผักกาด
วังสวนผักกาดเป็นวังที่ประทับของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า จุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต และ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร (เทวกุล)(ชายา)
ที่ชื่อ "วังสวนผักกาด" เพราะว่า ... เสด็จในกรมฯ ซึ่งเป็นพระราชนัดดา (หลาน)ในรัชกาลที่ 5 และ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร(ชายา) ผู้เป็นเจ้าของวัง ได้มาซื้อที่ดิน ของคนจีน ที่ปลูกเป็นแปลงผักกาดอยู่ค่ะ เรือนไทยที่นี่มีความเก่าแก่ อายุมากกว่าร้อยปี
เสด็จในกรมฯ ทรงชอบสะสมโบราณวัตถุ และศิลปะโบราณวัตถุมีค่าอันเป็นมรดก ทางวัฒนธรรม และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่ค้นพบในประเทศไทยและซื้อหา มาจากประเทศอื่นๆไว้เป็นจำนวนมาก ท่านเชื่อว่า โบราณวัตถุเหล่านี้ ไม่ควร เก็บไว้ชมแต่เพียงผู้เดียว ถือเป็นมรดกตกทอดของมนุษยชาติด้วย
จึงได้เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมศิลปะและโบราณวัตถุที่สะสมไว้ โดยที่เจ้าของบ้านยังใช้เป็นที่พำนักอยู่ได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ กล่าวได้ว่า ... เป็นบ้านแห่งแรก ที่เปิดให้ผู้อื่นเข้าชมบ้านได้
ประวัติที่มาเป็น พิพิธภัณฑ์ วังสวนผักกาด
พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร หรือ เสด็จในกรมฯ และชายาได้ย้ายเข้ามาพำนักอาศัย เป็นการถาวร หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง จุดเริ่มต้นทรงเปิดแสดงศิลปวัตถุโบราณ ที่สะสมไว้ให้พระสหาย และคนที่รู้จักมาชมก่อน แล้วจึงเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชม หลังจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร สิ้นพระชนม์ ใน พ.ศ. 2502 พระชายา คือ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ได้มอบ "วังสวนผักกาด" ให้อยู่ในความดูแลของ มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ และเปิดเป็น ... "พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด " นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ธรรมชาติระหว่างทางเดินภายใน ศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์ เพื่อเดินไปชมเรือนไทยต่อครับ
เดินต่อมาเรื่อยๆจะเจอกับโรงเก็บเรือ เรือพระที่นั่งเก้ากึ่งพยาม เป็นเรือพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชาทานแก่ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ซึ่งเป้นพระบิดาของสเด็จในกรมฯ เจ้าของวัง เพื่อใช้เป็นขบวนเรือตามเสด็จประพาสต้น ตัวเรือทำด้วยไม้ตะเคียนทอง ส่วนเก๋งเรือและหลังคาทำด้วยไม้สักทอง
บ่อเลี้ยงเต่าระว่างทางเดินซึ่งภายในบ่อเต็มไปด้วยผักกาดครับ
ถัดจากโรงเก็บเรือจะเป็นหอเขียนซึ่งตั้งอยู่บนสนามหญ้า ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกที่สุดของในวังสวนผักกาด ภายนอกและภายในนั้นมีรายละเอียดที่บรรจงสร้างขึ้นมาได้อย่างสวยงาม แต่เสียดายที่ถายในนั้นไม่สามารถถ่ายรูปมาได้
เมื่อเสด็จในกรมฯ และคุณท่าน ทรงทราบว่าวัดบ้านกลิ้ง ซึ่งเป็นวัดเล็กตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังวัดพระนครศรีอยุธยา โดยสภาพวัดเกือบจะร้างอยู่แล้ว มีเรือนโบราณเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมากและไม่มีผู้ใดบูรณะรักษาเลย แต่ภายในมีสิ่งสวยงามเป็นภาพลายรดน้ำเรื่องพุทธประวัติ พระองค์ท่านจึงทำผาติกรรมคือไถ่ถอนเรือนโบราณนี้มาจากวัดบ้านกลิ้ง ย้ายมาไว้ที่วังสวนผักกาดเพื่อนำมาทำการบูรณะซ่อมแซมทั้งตัวอาคารและภาพลายรดน้ำ แล้วทรงสร้างศาลาวัดสวดมนต์และศาลาท่าน้ำ ถวายให้แก่วัดเป็นการทดแทน หลังจากการบูรณะแล้วเสร็จ เสด็จในกรมฯ ทรงประทานหอเขียนเป็นของขวัญแก่คุณท่านซึ่งเป็นชายา เนื่องในโอกาสที่คุณท่านมีอายุครบ 50 ปี ในวันที่ 8 มีนาคม 2502
หอเขียนนี้มีลักษณะเป็นเรือนไทยภายนอกมีภาพแกะสลักซึ่งชำรุดลบเลือนไป เนื่องจากถูกแสงแดด ลม และฝนเป็นเวลานาน ส่วนชั้นในนั้น ลวดลายและช่องหน้าต่างเป็นศิลปะยุโรป ภาพลายรดน้ำส่วนบนเป็นเรื่องพุทธประวัติ ส่วนล่างเป็นเรื่องรามเกียรติ์และเรื่องราวที่บันทึกในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ได้ส่งทูลเข้ามาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับไทย ตามด้วยราชทูตชาวฮอลันดา ภาพที่เขียนเต็มไปด้วยธรรมชาติที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งและมีชีวิตชีวา ช่างเขียนได้บันทึกความสวยงามของธรรมชาติไว้ด้วยภาพ ภูเขา ลำธาร และภาพขนบธรรมเนียมในราชสำนักในสมัยนั้น ตลอดจนการตกแต่งรั้ววังและยังมีภาพเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่มีค่ายิ่งทางสถาปัตยกรรมไทย
อีกมุมซึ่งมองออกมาจากหอเขียนจะเห็นเรืองไทยหลังที่ 4
หลังจาดนั้นเดินต่อไปจะเป็นสวนของใต้ถุนของเรือนไทยหลังที่ 4 เพื่อที่จะขึ้นไปชั้นสองของเรือนไทยทั้งหมด
ระหว่างทางเดินจะผ่านเรือนที่ 5 และที่ 6 แต่ไม่สามารถขึ้นไปได้เนื่องจากทางวังสวนผักกาดจะควบคุมให้เราขึ้นลงตามจุดที่กำหมดเท่านั้น
ที่ชั้น 1 ของเรือนไทยหลังที่ 4 ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้เป็นที่ต้อนรับและรับประทานอาหารค่ำ
จากนั้นเดินต่อไปเพื่อจะมายังเรือนที่ 1 เพื่อเริ่มชมของสะสมที่อยู่ภายในเรือนต่างๆต่อไป
เรือนไทยหลังที่ 1 จนมาถึงเรือนไทยหลังที่ 1 ด้านล่างเป็นที่จัดแสดงเครื่องดนตรีสมัยก่อน ด้านข้างมีบันไดเพื่อเดินขึ้นข้างบน ถอดรองเท้าใส่ถุงหิ้วไปด้วย ด้านบนมีของเก่าที่น่าสนใจและหาดูไม่ได้ง่ายๆ
เมื่อเดินขึ้นมายังเรือนที่ 1 จะมีทางเชื่อมเพื่อไปยังเรือนที่ 2 3 และ 4 ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างเรือนที่มีสวยงามมากๆ
เรือนไทยหลังที่ 2 จัดตกแต่งเป็นเรือนรับรอง ภายในห้องด้านเหนือมีเตียง หมอนขวาน บนเตียงมีฉลองพระองค์ครุยของเจ้านายชายและผ้ากรองทองสำหรับเจ้านายหญิง เมื่อมีการแต่งองค์เต็มยศตามแบบโบราณ
มุมห้องด้านใต้ข้างประตู มีคันฉ่องซึ่งมีกรอบไม้แกะสลักลายไทย จีน และฝรั่งเศส ปิดทองด้านหน้าคันฉ่องมีหงส์ 1 คู่ ประดับไฟ 2 ดวงหน้าหงส์
ถัดมาทางทิศใต้ของห้องบนตู้มีพานประดับมุกซ้อนกัน 4 ใบ ภายในตู้ชั้นบนมีตลับงาช้าง สำหรับใส่สีผึ้งและแป้ง มีงาช้างแกะสลักลายไทยปิดทอง ถัดมาทิศตะวันตก มีตู้แกะสลักลายไทยปิดทอง ภายในชั้นบนของตู้มีถ้วยเงินลายทอง ชั้นกลางและชั้นล่างมีเครื่องแก้วเจียระไนจากยุโรปส่วนด้านหลังตู้มีตะลุ่มประดับมุก
ด้านเหนือของห้อง มีตะลุ่มประดับมุกวางอยู่บนตู้สลักลายไทยปิดทอง ในตู้ชั้นบนมีพระรูปของเสด็จในกรมฯ พระบรมรูปแกะสลักจากงาช้างของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระรูปของ หม่อมเจ้าหญิงมารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร ชั้นล่างมีปั้นกาน้ำ ตระกร้าหญ้าลิเภา และจานหมูที่สมเด็จพระศรีนคริ นทราบรมราชชนนีพระราชทานไว้ ตู้ชั้นล่างมีปิ่นโตเงินลงยาลายนูนจากประเทศจีน กระโถนเครื่องถมและกระโถนเบญจรงค์ริมประตูด้านตะวันออกมีพระฉายแขวน (กระจกส่องหน้า) และตู้เก็บเครื่องแก้วเจียระไนรวมทั้งขวดน้ำหอม ซึ่งนำมาจากประเทศต่างๆ ในยุโรป
เรือนไทยหลังที่ 3 ตกแต่งเป็นที่รับรอง ด้านขวาของห้องมีตั่งซึ่งใช้รับรองแขก ด้านซ้ายใกล้ประตูมีตู้เล็กแสดงวัตถุโบราณศิลปะกรีก-โรมัน ถัดมามีตู้ใส่ภาชนะเบญจรงค์ ด้านบนฝาผนัง เหนือตู้มีภาพเขียนสีเรื่องรามเกียรติ์ สมัยต้นรัตน์โกสินทร์ในรัชกาลที่ 2 ถัดไปเป็นตั่งแกะสลักลายไทยปิดทอง ด้านบนมีเสลี่ยงซึ่งสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ พนักพิงและราวทำด้วยงาช้างแกะสลักมีกลดตั้งอยู่ด้านหลังของเสลี่ยงและต้นไม้เงิน-ตันไม้ทอง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่สมเด็จย่าของเสด็จในกรมฯ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติครบ 84 ปี
บนฝาผนังห้องรอบประตูมีภาพวาดที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ยุโรป ภาพบนเหนือประตูเป็นภาพพระนครศรีอยุธยา และภาพล่างเป็นภาพพระพุทธรูปต่างๆ สมัยอยุธยา ภาพราชฑูตฝรั่งเศส ซึ่งราชฑูตชาวฝรั่งเศสนับเป็นชาติแรกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีสมัยพระนารายณ์มหาราช ส่วนด้านข้างประตูภาพบนเป็นภาพเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฉลองเครื่องทรงเป็นแบบชาวยุโรปพระวรกายมีสีดำ ภาพด้านขวาเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระราชีนี เข้าใจว่าสองภาพนี้ ช่างภาพชาวฝรั่งเศสคงเขียนขึ้นจากจินตนาการก่อนที่จะเดินทางมายังประเทศไทย
ด้านหน้าห้อง มีบานประตูมุกสมัยอยุธยาตอนปลาย (ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23) ภายในห้องมีพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ที่น่าสนใจคือ พระพุทธรูปสำริดชุบทอง ปางลีลา ศิลปะสุโขทัย (ราวพุทธศตวรรษที่ 19-20) และมีงาช้างแกะสลัก รวมทั้งแจกันที่ทำจากงาช้าง ด้านหลังของฝาผนังห้องมีพระบฎแสดงพุทธประวัติ สมัยรัตนโกสินทร์
ด้านข้างของเรือนที่ 4 จะมีสะพานข้ามบอน้ำเล็กๆ และติดกับสวนซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดีมากๆ
ส่วนที่เป็นชั้นสองของเรือนที่ 4 มองออกไปจะเห็นหอเขียนและบรรยากาศของธรรมชาติ
ทางเชื่อมจากโถงจากชั้นสองของเรือนที่ 4 เพื่อไปเข้าชมต่อยังเรือนที่ 6
เรือนไทยหลังที่ 6 เรือนไทยหลังนี้ ส่วนใหญ่จัดแสดงเครื่องถ้วยชามสังคโลก ศิลปะสุโขทัย ซึ่งมีอายุประมาณ 600-700 ปี รวมทั้งเครื่องถ้วยชาม สมัยซ้ง หยวน และหมิง ของประเทศจีน
ภายนอกมีตู้แสดงภาชนะดินเผาสังคโลกจากกลุ่มเตาเวียงกาหลง จังหวัดเชียงราย ขวานหินโบราณและเครื่องประดับ สมัยยุคหิน และเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งได้จากจังหวัดกาญจนบุรี
ภายในมุมห้องด้านซ้ายแสดงหินสลักรูปหัวงู ศิลปะขอม ถัดไปมีภาชนะดินเผาสังคโลก และตุ๊กตาสมัยสุโขทัย ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ สวยงามมากและเหยือกรูปคนขี่ช้างทรงอยู่สมัยสุโขทัยมุมห้องด้านตะวันตก มีรูปเทวดาสตรีสมัยศรีวิชัย (อายุราวพุทธศตวรรษที่ 14-15) ทำด้วยหินทราย ได้มาจากดงศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี มีไหหรงสูงได้จากทะเล และมีภาพเขียนเรื่องจันทรโครพ มีอายุราวสมัยรัตนโกสินทร์อยู่บนฝาผนังด้านตะวันออก
จากเรือนที่ 6 จะมีทางเชื่อมไปยังเรือนที่ 5 ซึ่งเป็นอีกภาพที่ผมประทับใจมาก
เรือนไทยหลังที่ 5 เป็นเรือนไทยที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัง ขนานกับถนนศรีอยุธยา ซึ่งใช้จัดแสดงของใช้ประจำพระองค์ของทูลกระหม่อมบริพัตรและเสด็จในกรมฯ อาทิ เครื่องแก้วเจียระไน เครื่องแก้วลายทอง เครื่องเงิน เครื่องกระเบื้อง เป็นต้น ส่วนใหญ่นำมาจากประเทศต่างๆ ในยุโรป นอกจากนี้ยังมีเหรียญกษาปณ์สมัยต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ
เดินย้อนกลับมาจะเดินกลับไปเพื่อชมเรือนที่ 7 และ 8 ต่อ
นอกจากนี้ยังมีหุ่นละครเล็กพระรามกับนางสีดาและทศกัณฑ์กับหนุมานของนายสาคร ยังเขียวสด ศิลปินแห่งชาติปี 2539 สาขาศิลปะการแสดง ซึ่งจะจัดแสดงอยู่ภายในห้องด้วย
เรือนไทยหลังที่ 8 เดิมเรือนหลังนี้ คุณท่านใช้แสดงภาพเขียน ซึ่งต่อมาได้มอบให้แก่หอศิลป์พีระศรีไป คุณท่านจึงจัดชั้นบนเป็นที่แสดงวัตถุโบราณบ้านเชียง ซึ่งจัดอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยค้นพบที่จังหวัดอุดรธานีเมื่อปี พ.ศ. 2509 และวัตถุโบราณบ้านเชียงเหล่านี้ คุณท่านสะสมไว้ เริ่มแรกตั้งแต่มีการขุดค้นพบ นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงพัฒนาการทางสังคมและความเจริญของชุมชนในหมู่บ้าน ซึ่งมีอายุประมาณ 1,800-5,600 ปี มีภาชนะดินเผาที่มีเอกลักษณ์ในการเขียนสีแดงแบบแปลกๆ รวมทั้งภาชนะดินเผาที่ไม่มีลายเขียนสีและที่เขียนสีบางส่วน ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าภาชนะดินเผาเขียนสีทั้งลูก
นอกจากนี้ยังมีวัตถุโบราณที่ใช้เป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยลูกปัด มีลูกกลิ้งดินเผาที่ใช้พิมพ์ลวดลายไปบนผ้า และแม่พิมพ์ที่ใช้ในการทำอาวุธ รวมทั้งวัตถุโบราณที่ทำมาจากสำริดอื่นๆ เช่น หัวขวาน หัวธนู กำไลแขน คอ และแหวน ซึ่งบางชิ้นยังมีกระดูกมนุษย์ติดอยู่ จึงทำให้วัตถุโบราณบ้านเชียงนับเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของอารยธรรมโลก
ชั้นล่างของเรือนบ้านเชียง ได้จัดแสดงตัวอย่างหินและเปลือกหอย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ห้องทางด้านซ้ายจัดแสดงหินภูเขาไฟ ซึ่งได้มาจากอำเภอลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี และบางจังหวัดทางภาคเหนือ ห้องทางด้านขวาจัดแสดงซากสัตว์โบราณขนาดเล็กที่อยู่ในหินฟอสซิล รวมทั้งไม้กลายเป็นหิน ส่วนหอยได้มาจากต่างประเทศ
หลังจากที่ชมเรือนที่แปดเส็ดเรียบร้อยก็จะเดินลงมาเพื่อกลับไปยัง ศิลปาคารจุมกฏ-พันธุ์ทิพย์ ระหว่างทางจะเจอกับบ้าน ซึ่งไม่ทราบว่าปัจจุบันมีใครอาศัยอยู่รึเปล่า
คงจะเป็นที่อิจฉาไม่น้อยเพราะได้อยู่ในบรรยากาศดีๆแบบนี้
บรรยากาศทางเดินระหว่างบ้านพักเพื่อกลับไปยังจุดที่จอดรถ
วันนี้ ผมได้ใช้เวลาเดินชมภายในวังสวนผักกาดแห่งนี้ประมาณ 3 ชม เพื่อที่จะซึบซับสถาปัตยกรรมไทย
แม้ว่ารอบนอกของวังสวนผักกาดนี้จะเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องต่างๆ ที่เป็นสมัยใหม่แต่ก็ไม่ได้บดบัง
ความงามของวังสวนผักกาดแห่งนี้ได้เลยทำให้ผมรู้ว่าสถาปัตยกรรมไทยนั้นเป็นสิ่งที่ยั่งยืนและ
ไม่มีวันตาย
เครดิต : http://www.suanpakkad.com
เอกสารแผ่นพับ จากพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
ธีรวุฒิ หล่อวิวัฒนพงศ์ 52020039